1.How will social networking impact businesses? เครือข่ายสังคมจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้อย่างไร
เครือข่ายสังคมออนไลน์ ( Social Network ) หมายถึง กลุ่มคนที่รวมกันเป็นสังคมมีการทำกิจกรรมร่วมกันบนอินเทอร์เน็ต ในรูปแบบของเว็บไซต์มีการแผ่ขยายออกปเรื่อย ๆ เป็นรูปแบบของการสื่อสารข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตเป็นสังคมมากขึ้น ซึ่งในปัจจจุบันสังคมอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ทั้งเพื่อการศึกษา ธุรกิจและความบันเทิง ซึ่งล้วนมีผลในการดำรงชีวิตของคนในสังคม การให้บริการในเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้มีหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ต่าง ๆ Chat การส่งอีเมล์ เป็นต้น
เครือข่ายสังคมจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้อย่างไร
จากที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า สังคมเครือข่ายนี้มีทั้งคุณและโทษ อยู่ที่การนำไปใช้ ซึ่งผู้ให้บริการเองก็คงต้องมองให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการมีสังคมดังกล่าวเกิดขึ้น ว่ามีอะไรบ้าง โดยเราสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อธุรกิจ 3 ด้านด้วยกัน คือ
ผลกระทบทางด้านสังคม
ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ
ผลกระทบทางด้านสังคม
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมนั้น หากมองในทางที่ดีแล้ว จะพบว่า สังคมเครือข่าย ช่วยให้การติดต่อสื่อสาร หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคนในสังคมใช้เวลาที่รวดเร็ว บางครั้งไม่ต้องเดินทางข้ามประเทศ เพื่อมาพบกัน ก็สามารถเจอกันได้ผ่านทางสังคมออนไลน์ อีกทั้งทำให้เกิดความอิสระในการมีเพื่อนที่มาจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทั้งทางด้านทัศนคติ ความรู้ และวัฒนธรรมต่างๆทำให้เกิดคลังความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมา เพราะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคนในสังคมเครือข่าย ที่มีการต่อยอดทางความคิด กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในหลายๆ ครั้งก็พบว่ามี นวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมาจากการคุยกันใน Webboard รวมไปถึงการสร้างพลังทางสังคมที่มากขึ้น โดยจะเห็นได้จากเมื่อใดก็ตามที่สังคมเกิดปัญหาขึ้น ก็จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น หาทางออกให้กับปัญหาต่างๆ โดยมีคนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งการรวมกลุ่มทางสังคมนี้ขึ้นมา ก็ทำให้เกิดพลังในการขับเคลื่อน และปรับปรุงประเทศต่อไปแต่ในอีกมุมหนึ่ง จะพบว่าความสัมพันธ์ของคนในสังคมเครือข่ายนี้ เป็นความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย ไม่ได้มีการติดต่อสื่อสารแบบเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริง บางคนต้องการเพียงแค่เก็บจำนวนเพื่อนให้เยอะๆ เฉยๆ เพื่อนที่อยู่ในสังคมนี้จึงไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไรนัก นอกจากนี้ ข้อมูลส่วนตัวที่อยู่ในสังคมเครือข่าย ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ ทำให้ถูกมองว่าเป็นสังคมแห่งความหลอกลวง และไม่จริงใจการที่ไม่ต้องเห็นหน้าในการสื่อสารกัน ทำให้ในหลายๆ ครั้งผู้ใช้เองก็ขาดสติ และศีลธรรม และนำพฤติกรรมทางด้านลบที่ตัวเองอยากทำ แต่ไม่ได้ทำในโลกของความเป็นจริงมาใช้ในโลกของไซเบอร์ โดยมักใช้ข้อความในการดูหมิ่น ถากถาง หรือการ Post รูปที่ค่อนข้างอนาจารทำให้ในหลายๆ ครั้งสังคมเครือข่าย กลายเป็นแหล่งรวมของกลุ่มคนที่เป็นปัญหาทางสังคม และในท้ายที่สุด หลายๆ กรณี ก็ทำให้เกิดปัญหาทางด้านกฎหมายตามมาอีกมากมาย อย่างที่เรามักจะพบเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ทุกวันและที่เลวร้ายไปกว่านั้น ก็คือบ่อยครั้งที่ผู้ใช้เอง มักถูกล่อลวงจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยไปหลงเชื่อข้อความที่อยู่ในเครือข่ายนั้น และโดนหลอกลวงไปทำมิดีมิร้ายต่างๆ เช่น ถูกหลอกไปข่มขืน ทำร้ายร่างกาย หรือทำให้เสียชีวิต ซึ่งกลายเป็นว่าสังคมเครือข่ายเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดคดีต่างๆ เพิ่มมากขึ้นดังนั้น จะเห็นได้ว่าสังคมเครือข่ายแม้จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่ก้าวเข้ามาในโลกไม่นานนัก แต่ก็ส่งผลต่อสังคมสูงมาก และถ้าองค์กรทางภาครัฐ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการดูแลทางด้านสังคมไม่ได้ระวังตัว ก็จะทำให้สังคมของตัวเองต้องตกเป็นเหยื่อของเทคโนโลยีนี้ก็ได้
ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ
สังคมเครือข่ายเป็นช่องทางในการหาข้อมูล หรือทำธุรกิจที่มีราคาถูกมาก โดยในปัจจุบันบริษัทต่างๆ ก็หันมาโฆษณาผ่านทางสังคมเครือข่ายมากขึ้น เพราะไม่เสียค่าใช้จ่าย และได้ผลรวดเร็วต่อการสื่อสารให้คนอื่นๆ ได้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหน้าเครือข่ายไว้ที่ Facebook เพื่อประชาสัมพันธ์ และรับความคิดเห็นของลูกค้า หรือการนำโฆษณาของตนเองไป Post ไว้ที่ Youtube ซึ่งก็กลายเป็นช่องทางที่ทำให้คนเข้ามาดูมากกว่าช่องทางที่เป็นโทรทัศน์หรือวิทยุจากสถิติการใช้สื่อโฆษณาของอเมริกาที่จัดทำขึ้นโดย eMarketer ได้มีการใช้เงินโฆษณา ผ่านสังคมเครือข่าย เพิ่มมากขึ้นกว่า 100% จากปี 2006 เทียบกับ ปี 2007 และมีแนวโน้มที่จะใช้มากขึ้นต่อไปในอนาคต เนื่องจาก ชาวอเมริกันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับอินเตอร์เน็ตมากกว่าทีวี หรือวิทยุ ส่วนในบางประเทศที่ถูกควบคุม และจำกัดในการโฆษณา เช่น ประเทศจีน และสิงคโปร์ ก็ยังมีการใช้สังคมเครือข่าย เป็นอีกช่องทางในการโฆษณา โดยการใช้เงินกับสื่อประเภทนี้ยังคงมีการเติบโตที่สูงมาก ซึ่งจากที่คาดการณ์ตัวเลขของปี 2006 จนถึงปี 2010 จะสูงขึ้นมากกว่า 500% ในประเทศสหรัฐอเมริกา และกว่า 600% ทั่วโลก นี่อาจจะเป็นผลมาจากเครือข่ายที่ขยายวงกว้างมากขึ้น และวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีลูกเล่น ที่น่าสนใจทำให้ผู้ใช้ได้เข้ามาคอยติดตามกันสังคมเครือข่ายบางประเภทไม่ใช่เป็นเพียงแค่ Website ที่ใช้แชร์ข้อมูล รูปภาพอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ได้พัฒนามาเป็นที่แนะนำสินค้า และสถานที่ที่สามารถซื้อหาได้ หรือที่รู้จัก กันในนามของ Collaborative Shopping Communities อีกด้วย สมาชิกที่อยู่ในเครือข่ายสามารถแบ่งปันเกี่ยวกับเทรนด์ที่มาแรง แฟชั่น ร้านค้าที่ฮอตฮิต ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับองค์กรต่างๆ ที่สามารถเก็บข้อมูล ความสนใจ และความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงจากการสำรวจ Global Shopping Insight ของบริษัทวิจัย TNS เมื่อมีนาคม 2008 รายงานว่า Social Network Shopping ดูจะเป็นที่นิยมมากในกลุ่มวัยรุ่นและผู้หญิงเพราะส่วน ใหญ่เป็นเทรนด์แฟชั่น และของสวยๆ งามๆ และหากมาดูยอดใช้บริการ Social Network Shopping ในแต่ละประเทศจีน และสเปน เป็นประเทศที่มีอัตราการใช้บริการและความสนใจ ค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่นๆ
ในไทยก็มีธุรกิจที่ได้มีการสร้างเครือข่ายเป็นของตัวเอง อย่างเช่น True ที่สร้าง Minihome, Happyvirus ของ DTAC และอุ่นใจช่วยได้ ของ AIS ซึ่งสามารถใช้เป็นช่องทางใหม่ๆ ที่จะใช้เป็นสื่อโฆษณาต่อไปในอนาคต หรือเป็นเครื่องมือทางการตลาดจากเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ได้ และนอกจากนี้ ยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
องค์กรต่างๆ สามารถใช้เครือข่ายจากสังคมนี้ เป็นเครื่องมือการทำ CRM (Customer Relationship Management) ในงานประชาสัมพันธ์ทางการตลาดได้ เนื่องจากจะมีการแสดงความคิดเห็นผ่าน Website ก้อน ทำให้ทราบ Feedback ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ การร่วมด้วยช่วยกันคิดผ่านสังคมเครือข่าย ก็ทำให้เกิดมุมมองต่างๆ เพิ่มมากขึ้น มีความคิดเห็นที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น จนทำให้เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา และสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ หรือการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี
แต่ในทางกลับกัน หากผู้ใช้งานเอง ไม่ได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการนำเทคโนโลยีนี้ มาใช้แล้วล่ะก็จะกลายเป็นว่าวันๆ เอาแต่เล่น Hi5 Facebook โพสรูปของตัวเองเรื่อยไป งานการไม่ได้ทำ ทำให้องค์กรไม่ได้รับการพัฒนา เพราะคนในองค์กรไม่ได้ใส่ใจในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
จะเห็นได้ว่าสังคมเครือข่าย จึงมีอิทธิพลทั้งทางด้านดี และทางด้านไม่ดีต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงมาก ซึ่งหากมองเห็นถึงประโยชน์สังคมเครือข่ายนี้ ก็จะถูกนำมาใช้สร้างเป็นกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่า หากผู้ขายสามารถขายสินค้าได้ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น และตอบรับความต้องการได้อย่างโดนใจแล้วล่ะก็ ก็ย่อมส่งผลในทางที่ดีต่อสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน
2.What are the impacts of the Web 2.0 boom? อะไรเป็นผลกระทบจากการบูม Web 2.0?
ตอบ อิทธิพลของ Web 2.0 ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
การติดต่อสื่อสารโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางเพื่อสร้างชุมชนออนไลน์ขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ blogs และ wikis นอกจากนี้บางเว็บไซด์ได้มีการให้บริการ RSS feeds เป็นจำนวนมากภายในหน้าเว็บของตน ในขณะที่บางเว็บไซด์ได้สร้างลิงค์ที่ลิงค์ไปยังเว็บไซด์อื่น ๆชนิดเจาะลึกเข้าถึงข้อมูล
เทคโนโลยี Web 2.0 สังคมที่นักเขียนใช้ Blog เผยแพร่เทคนิคการเขียนและตัวอย่างงานเขียนของตน สังคมที่แพทย์ช่วยกันเขียนบทความเรื่องโรคอัลไซน์เมอร์ใน Wikipedia เพื่อให้ใครก็ได้เข้ามาอ่าน สังคมที่ทักท่องเที่ยวเผยแพร่ภาพถ่ายของสถานที่สวยงามน่าสนใจใน Flickr และใครก็ตามที่สนใจก็สามารถค้นหาภาพเหล่านั้นได้ง่ายๆหากสนใจ สังคมที่นักข่าวรับข่าวจากสำนักข่าว 10 แห่งด้วยระบบ Feed ส่งตรงมายังหน้าจอของนักข่าวคนนั้น และมีข่าวใหม่ปรากฏทุกๆ 5 นาที เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมลักษณะนี้ น่าจะเป็นสังคมที่พึงปรารถนา ที่ผู้คนสามารถเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ได้ในเวลาเดียวกันด้วยคุณลักษณะพิเศษของ Web 2.0 ที่เอื้อต่อการเรียนรู้อันนำไปสู่ปัญญาสาธารณะ ทำให้ Web 2.0 เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการผลักดันให้ควบรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิธีการเรียนรู้ของคนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมที่การใช้เทคโนโลยีกำลังจะกลายเป็นวิถีชีวิตของทุกๆ คน
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จที่ได้มา ยังมาจากแนวทางการวางกลยุทธ์ที่คอนเวอร์เจนซ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ผสมผสานไปกับสนับสนุนให้การใช้งานไอทีเข้าถึงทุกๆ อุตสาหกรรม รวมถึงกำหนดแนวทางการพัฒนาตลาดให้สอดคล้องไปกับเมกะเทรนด์ไอทีภายใต้เป้าหมายใหญ่คือเป็นผู้เล่นชั้นนำระดับท็อป 5 ของโลก
“เรามีแนวทางที่ชัดเจน เปิดกว้างต่อการแข่งขันที่เสรี สำคัญธรรมชาติของคนในประเทศเกาหลีใต้เป็นผู้พร้อมที่จะทำงานหนักได้ตลอดเวลา”
นายยองชิกแนะว่า ไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีความพร้อมด้านบุคลากร ดังนั้นควรหาให้ได้ว่าอะไรคือจุดแข็งและโอกาสที่มีอยู่ ความท้าทายคือทำอย่างไรให้การเข้าถึงไอซีทีที่ยังต่ำอยู่พัฒนาไปอีกขั้น มากกว่านั้นนำเทคโนโลยีไปปรับให้ดีที่สุด
อย่างไรก็ดี เชื่อด้วยว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกมหาศาลจากการเปิดเออีซี ซึ่งไทยในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาค ควรเร่งบุกเบิก การเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องทำให้เร็วแต่ทำอย่างไรให้แข็งแกร่ง สามารถดึงดูดนักลงทุนชาติตะวันตกเข้ามาได้
5 อันดับ WEB 2.0
2. ผู้ใช้เป็นผู้กำหนดคุณค่าของเนื้อหา ไม่ว่าจะด้วยการให้คะแนน (Digg) การโหวต หรือแม้แต่การค้นหาเข้าชมเว็บไซต์ผ่านSearch Engine ก็มีส่วนให้เว็บไซต์นั้นมี Rank สูงขึ้น ทำให้เว็บไซต์นั้นปรากฏอยู่ในอันดับต้นๆ ของ Search Engine ส่งผลให้คนอื่นๆ มีโอกาสจะค้นพบเว็บไซต์นั้นได้ง่ายขึ้น เป็นระบบที่แปลงการตัดสินใจและการให้คุณค่าของคนแต่ละคน มาเป็นการตัดสินใจของสาธารณะ คล้ายกับระบอบประชาธิปไตยในอุดมคติที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
3. เนื้อหาทั้งระบบมีการเชื่อมโยงถึงกันอย่างเหมาะสม ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการ เช่น การที่ผู้ใช้กำหนดKeyword หรือ Tag ในบทความหรืองานที่ตนสร้าง ทำให้ผู้ใช้คนอื่นๆ ที่ต้องการข้อมูลที่เกี่ยวข้องสามารถค้นพบข้อมูลของเจ้าของเนื้อได้โดยง่ายโดยการพิมพ์ Tag ที่ต้องการลงไปในช่องค้นหา นอกจากนั้น ระบบ Feed ยังทำให้ผู้ใช้สามารถรวบรวมเนื้อหาที่ตนเองต้องการให้แสดงผลบนที่ที่เดียวกันได้โดยง่าย
นอกจากนั้น 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือ 67% ทำพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลองค์กร มีพนักงาน 19% เก็บรหัสผ่านในเครื่องพีซี 18% แชร์พาสเวิร์คกับเพื่อนร่วมงาน และแก้ไขเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าระบบความปลอดภัยเอง 1 ใน 5 ของที่สำรวจ และมี 46% ที่ยอมรับว่าส่งไฟล์งานจากพีซีที่บ้าน หรืออุปกรณ์พกพากลับไปยังพีซีที่สำนักงาน
พฤติกรรมที่สร้างความ เสี่ยงสูงสุดคือ พนักงานจัดเก็บรหัสผ่านเข้าใช้งานระบบในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะเมื่อคอมพิวเตอร์สูญหายก็จะทำให้แฮคเกอร์เข้าถึงข้อมูลในเครื่อง และการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าระบบความปลอดภัยในเครื่องพีซี
วิธีการจัดการดังนี้
1. ป้องกันระบบ
ปกป้องให้พ้นจากผู้ไม่ประสงค์ดีกฎการป้องกันของระบบคอมพิวเตอร์คือ การสร้างกลไกที่บังคับให้ผู้ใช้ทรัพยากรปฏิบัติตามข้อกำหนด ที่ได้สร้างไว้ เพื่อการใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างถูกต้อง และป้องกับข้อมูลของผู้ใช้ให้มีความปลอดภัยนั่นเอง
2. แนะจัดอันดับพนักงานกลุ่มเสี่ยง
ถึงแนวทางลดความเสี่ยงด้วยว่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความปลอดภัย (ซีเอสโอ) ต้องให้ความรู้สร้างการตื่นตัวความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และจัดอันดับความสำคัญพนักงานที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ตกเป็นเป้าหรือทำให้ ข้อมูลองค์กรรั่วไหล พร้อมจัดทำนโยบายด้านความปลอดภัยตามประเภทความเสี่ยงเช่น ธุรกิจการเงิน ธุรกิจที่ปรึกษากฎหมาย ผู้บริหารระดับสูง พนักงานที่ทำงานแบบโมบายออฟฟิศ อาจต้องกำหนดให้เข้ารหัสข้อมูลเอกสารที่เป็นเอ็กเซล ทุกครั้งที่ส่งอีเมล เป็นต้นนอกจากนั้น ยังมีกลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มตกเป็นเป้าหมาย เป็นร้านค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ที่รับบัตรเครดิต ซึ่งมีข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ถือบัตรเครดิต โดยประเมินคร่าวๆ ว่า แต่ละปีมีมูลค่าการสูญเสียจากการถูกขโมยข้อมูลบุคคลราว 10 ล้านดอลลาร์“ธุรกิจเหล่านี้มีข้อมูลที่มีค่า เสมือนเป็น เวอร์ชัว แบงก์ ที่แฮคเกอร์จะเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้นไปขายต่อหรือใช้ เพื่อแฝงตัวเป็นบุคคลนั้นพร้อมทำธุรกรรมอื่นๆ”
เมื่อคุณคลิกข้อความอีเมลหรือการประชุม คุณจะเห็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ส่งและผู้รับข้อความ หรือผู้จัดและผู้เข้าร่วมการประชุม Outlook Social Connector ทำให้สามารถดูเนื้อหา Outlook ที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว เนื้อหาเหล่านี้ได้แก่ ข้อความอีเมลล่าสุดและการประชุมร่วม เอกสารที่ใช้ร่วมกันจากไซต์ SharePoint และการปรับปรุงสถานะหรือกิจกรรมจากไซต์เครือข่ายสังคมที่ได้รับความนิยม เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูล : http://www.l3nr.org/posts/450300
http://www.scimath.org/computerarticle/item/1143
http://office.microsoft.com/th-th/outlook-help/HA101831053.aspx
http://www.inthai.co/business/120
Comment